จะว่าไปแล้วการวางระบบน้ำก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเกษตรกรแต่ละรายเพราะพื้นที่แต่ละแปลงก็มีความต่างทั้ง ขนาด สั้น ยาว ลึก ใกล้ ไกล โอ้ยสารพัดอย่าง จึงเป็นเรื่องยากที่จะสรุปหรือคิดแม่แบบออกมาให้ได้ใช้งานกันเป็นมาตรฐาน และประกอบทั้งผู้เขียนก็เป็นเพียงเกษตรกรมือสมัครเล่นก็คงได้แต่เล่าให้เพื่อนๆ ฟังได้เล็กน้อยตามแต่ประสบการณ์จะพอมี ซึ่งก็อาจจะตอบคำถามเพื่อนๆ ที่ถามไถ่มาได้ไม่ครบครันนัก
น้ำถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากอย่างหนึ่งสำหรับการเกษตร ในอดีตนั้นสภาพอากาศไม่แปรปรวน ฝนตกต้องตามฤดูกาลประกอบกับธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ทำให้แหล่งน้ำต่างๆ มีอยู่มากมาย แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อมและธรรมชาติต่างๆ ได้เสื่อมถอยลงไปเป็นอันมากจนส่งผลให้ฝนฟ้าต่างๆ ไม่ตกต้องตามฤดูกาลหรือบางครั้งก็ถึงขั้นแปรปรวนทำให้การจัดการเรื่องน้ำสำหรับการเกษตรในยุคปัจจุบันมีความยากลำบากและสลับซับซ้อนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดการทรัพยากรน้ำให้เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดมากที่สุด และการใช้ระบบน้ำหยดและการให้น้ำแบบมินิสปริงเกอร์นี้ก็ถือว่าเป็นระบบการให้น้ำพืชที่น่าสนใจเพราะประหยัดที่สุดแล้วดีที่สุดในปัจจุบัน ส่วนในอนาคตนั้นไม่รู้ อิอิอิ ซึ่งหลักการให้น้ำในแบบของระบบน้ำหยดก็คือการให้ตรงจุดและให้ในปริมาณที่พอเหมาะที่พืชสามารถดึงไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเพราะบางครั้งบางทีการให้น้ำพืชจำนวนมากก็ใช่ว่าพืชจะสามารถดึงไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดจึงจำต้องปล่อยให้ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ไหลลงไปในชั้นดินอย่างเปล่าประโยชน์
ลักษณะข้อดีของการให้น้ำพืชด้วยระบบมินิสปริงเกอร์นั้นก็เป็นเรื่องของ รัศมีน้ำที่เป็นวงกว้างครอบคลุมรัศมีประมาณ 1 – 1.20 เมตรจากตัวมินิสปริงเกอร์ทำให้ดินบริเวณนั้นหรือรากพืชที่อยู่ในรัศมีนั้น ได้รับน้ำและความชื้นอย่างทั่วถึง จึงเหมาะสำหรับพืชยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่และแปลงปลูกที่มีการจัดการวัชพืชใน รัศมีต้นพืชอย่างดีเพราะไม่เช่นนั้นแล้วหญ้าท่านจะงอกงามกว่าต้นพืชของท่าน -__-!!! ส่วนข้อเสียนั้นก็เป็นเรื่องของความสิ้นเปลืองที่มีปริมาณ 70 ลิตรต่อชั่วโมง (ต่อ 1 หัวมินิสปริงเกอร์) จึงจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งน้ำที่พอเพียงสำหรับระบบนี้ และข้อเสียอีกข้อหนึ่งคือเรื่องการกำจัดวัชพืชที่ต้องทำอยู่เป็นประจำเพื่อ ให้ต้นพืชได้รับน้ำอย่างเต็มที่ ระบบนี้เป็นระบบการให้น้ำที่ผู้เขียนชอบที่สุดเพราะโดยส่วนตัวแล้วมีความ เชื่อว่าพืชนั้นต้องการน้ำในการดำรงชีวิตและรากพืชก็ต้องการความชื้นในดิน เพื่อจะขยายออกไปได้หากให้น้ำพืชแต่ดินยังแห้งแตกระแหงรากพืชก็คงไม่สามารถ ชอนไชขยายออกไปได้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ ^_^ ท่านอื่นคิดเห็นอย่างไรแลกเปลี่ยนกันได้
วิธีติดตั้งระบบน้ำมินิสปริง เกอร์ (การติดตั้งระบบน้ำมินิสปริงเกอร์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากไปกว่าการติด ตั้งระบบน้ำหยดเพียงแต่มีวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเข้าไปอีกหน่อย คือ ไส้ไก่ หัวจุ๊บสีดำ 2 ด้าน และขาเสียบมินิสปริงเกอร์)
1. หลังจากที่เดินท่อน้ำหลักด้วยท่อ PVC แล้วก็แยกย่อยด้วยท่อ PE ไปยังต้นพืชที่ต้องการ
2. เจาะรูบนท่อ PE สำหรับเสียบจุ๊บสีดำ
3. เสียบจุ๊บสีดำเพื่อเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างท่อ PE ตัวมินิสปริงเกอร์ด้วยไส้ไก่
4. จัดเตรียมชุดมินิสปริงเกอร์ด้วยการเสียบขาและตรวจดูขั้วจุ๊บสีดำที่ติดมากับมินิสปริงเกอร์ให้พร้อม
5. เสียบไส้ไก่หรือท่อเล็กเพื่อเชื่อมต่อเส้นน้ำมายังตัวมินิสปริงเกอร์แล้วนำไปปักดินในบริเวณที่ต้องการให้น้ำพืชก็เป็นอันเรียบร้อย
ลักษณะข้อดีของการให้น้ำพืชด้วยระบบน้ำหยดนั้นก็คือความประหยัดด้วยการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะให้น้ำพืชในปริมาณที่พอเหมาะและตรงจุดหรือบริเวณที่พืชต้องการ ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีส่วนวัชพืชที่ไม่ต้องการให้เจริญเติบโตนั้นก็จะขาดแคลนน้ำไปตามสภาพ เหมาะสำหรับพืชต้นเล็กถึงปานกลางหรือเกษตรกรบางรายก็ดัดแปลงทำเป็นวงกลมแล้วปล่อยน้ำหยดหลายจุดให้กับพืชต้นเดียวสำหรับพืชยืนต้นที่มีลำต้นใหญ่และรัศมีรากกว้าง ส่วนข้อเสียของระบบน้ำหยดนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของการกรองน้ำที่จะต้องติดตั้งระบบกรองเพื่อป้องกันสิ่งอุดตันและต้องทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอยู่เรื่อยๆ
วิธีติดตั้งระบบน้ำหยด
1. หลังจากเดินท่อหลักซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้ท่อ PVC จากตัวปั๊มเรียบร้อยแล้ว (การเดินท่อ PVC นั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และแปลงปลูกแต่ละท่านซึ่งมีความเฉพาะตัวสูงไม่สามารถสรุปได้โดยง่าย) ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการแยกท่อย่อยสู่บริเวรที่ปลูกพืชซึ่งท่อย่อยนี้ก็จะเป็นท่อ PE ที่เป็นท่อพลาสติกอ่อนสีดำสามารถโค้งหรืองอได้
2. เจาะรูบนท่อ PE ขนาดพอประมาณ ซึ่งปกติจะมีตัวเจาะโดยเฉพาะราคาประมาณ 30 – 40 บาท สามารถหาได้ทั่วไปตามร้านค้าอุปกรณ์การเกษตร แต่หากไม่มีก็สามารถเจาะได้ง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์แหลมคมทั่วๆ ไป เช่น ไขควง มีด หรือคัตเตอร์
3. ติดตั้งหัวน้ำหยดเข้าไปโดยตรงกับท่อ PE หากบริเวณที่ต้องการให้น้ำอยู่ในเส้นทางของท่อ PE
3.1 หรือหากบริเวณที่ต้องการให้น้ำอยู่ห่างจากเส้นทางของท่อ PE ก็สามารถใช้ไส้ไก่หรือท่อย่อยต่อขยายออกไปได้โดยอาจจะต้องเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปอีกเล็กน้อยคือไส้ไก่ตามความยาวที่ต้องการและจุ๊บดำอีก 1 ตัวต่อไส้ไก่ 1 สายเพื่อเป็นตัวเชื่อมเส้นน้ำระหว่างท่อ PE ส่วนไส้ไก่ส่วนปลายอีกด้านนั้นก็สามารถสวมเข้ากับหัวน้ำหยดได้เลย
4. ปรับระดับความแรงข้องหัวน้ำหยดให้เป็นไปตามที่ต้องการและลักษณะความต้องการของพืชชนิดนั้นๆ ความพิเศษของหัวน้ำหยดคือการปรับระดับความแรงได้หลายระดับตามใจชอบตั้งแต่หยดน้ำช้าๆ ไปจนถึงไหลเป็นทาง และหากจะใช้ระบบน้ำหยดแบบเต็มรูปแบบนั้นควรจะมีอุปกรณ์กรองน้ำติดตั้งอยู่บริเวณท่อหลักที่ออกมาจากปั๊มน้ำด้วยเพราะจะช่วยลดปัญหาการอุดตันบริเวณปลายหัวน้ำหยด
ขอบคุณบทความดีๆจาก MY GREEN GARDENS
หน้าที่เข้าชม | 350,631 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 226,023 ครั้ง |
เปิดร้าน | 1 ส.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 10 ก.ย. 2568 |